Knowledge For You
10 อันดับเมืองที่อากาศดีที่สุดในโลก!

อันดับ 10 เมืองทาลลินน์ (Tallinn) ประเทศเอสโตเนีย
เมืองหลวงเล็กๆ ที่มีสีสันสดใสแห่งนี้มีพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยต้นไม้ คนที่นี้เปรียบอากาศบริสุทธิ์ยามเช้ากับแปรงสีฟันอย่างดี ที่ช่วยให้เขารู้สึกสะอาดเอี่ยมอ่องทุกครั้งเมื่อสูดหายใจเข้าไป อย่างไรก็ตาม แม้อากาศจะดีเพียงใด ชาวเมืองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงพยายามใช้แต่พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น…(แน่นอน ว่าเขาคงอยากมีอากาศดีๆ ไว้หายใจนานๆ ไง!)
อันดับ 9 เมืองซูริก (Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมืองนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่ระบบการเดินทางสัญจรที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ที่ซูริกยังมีระบบการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ทันสมัยมากๆ โดยทางการจะนำเซ็นเซอร์ตรวจวัดสภาพอากาศติดไว้กับรถประจำทางที่ออกท่องตาม ถนนในหลายพื้นที่ เพื่อเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศในแต่ละช่วงเวลาของวัน และรายงานผลตรงไปยังอุปกรณ์มือถือของคนในเมืองทันที ที่เขายอมลงทุนทำขนาดนี้ก็เพื่อคนของเขาจะได้เลือกออกมาสูดอากาศในช่วงที่ มลพิษน้อยที่สุดไง…(บริการเขาดีจริงๆ นะ…ว่าไหม?)
อันดับ 8 กรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) ประเทศสวีเดน
ใครที่เคยไปเที่ยวสตอกโฮล์มคงต้องประทับใจกับบ้านเมืองที่สะอาดสะอ้านและ อากาศที่สดชื่นแน่นอน แต่ทราบหรือไม่ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวเมืองที่นี่ใช้รถยนต์ระบบไฮบริดมากที่สุดในยุโรป
นอก จากนี้เมืองนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องระเบียบการจัดการระบบการขนส่งที่เข้มงวด มากๆ ตั้งแต่การเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) ราว 2 ยูโรจากรถยนต์ที่ขับเข้าเมืองในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น ทั้งยังมีการจำกัดเวลาจอดรถพร้อมกับเก็บค่าจอดแพงๆ อีกด้วย เพื่อกันไม่ให้คนนำรถมาจอดเยอะเกินไป!…(เอามาใช้ในเมืองไทยบ้างจะดีไหมนะ !)
อันดับ 7 กรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์
น่าแปลกที่เมืองหลวงแห่งนี้มีมลพิษที่เกิดจากรถยนต์น้อยมาก ไม่ถึงครึ่งของมลพิษทั้งหมดในอากาศ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการออกแบบถนนให้กว้างมากเป็นพิเศษ ทำให้การจราจรไม่ติดขัด และประชาชนก็ยังทำตามคำแนะนำของรัฐบาล โดยการร่วมด้วยช่วยกันหันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนทันทีที่ทราบว่า คุณภาพอากาศในเมืองเริ่มย่ำแย่แล้ว
อันดับ 6 เมืองออตตาวา (Ottawa) รัฐออนแทรีโอ (Ontario) ประเทศแคนาดา
อันดับ 5 เมืองแคลกะรี (Calgary) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) ประเทศแคนาดา
อันดับ 4 เมืองเกรตฟอลส์ (Great Falls) รัฐมอนแทนา (Montana) สหรัฐอเมริกา
อันดับ 3 เมืองโฮโนลูลู (Honolulu) รัฐฮาวาย (Hawaii) สหรัฐอเมริกา
อันดับ 2 เมืองแซนตาเฟ (Santa Fe) รัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) สหรัฐอเมริกา
อันดับ 1 เมืองไวต์ฮอร์ส (Whitehorse) เมืองหลวงของดินแดนยูคอน (Yukon) ประเทศแคนาดา
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก http://www.ความรู้รอบตัว.com
เมืองหลวงเล็กๆ ที่มีสีสันสดใสแห่งนี้มีพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยต้นไม้ คนที่นี้เปรียบอากาศบริสุทธิ์ยามเช้ากับแปรงสีฟันอย่างดี ที่ช่วยให้เขารู้สึกสะอาดเอี่ยมอ่องทุกครั้งเมื่อสูดหายใจเข้าไป อย่างไรก็ตาม แม้อากาศจะดีเพียงใด ชาวเมืองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงพยายามใช้แต่พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น…(แน่นอน ว่าเขาคงอยากมีอากาศดีๆ ไว้หายใจนานๆ ไง!)
อันดับ 9 เมืองซูริก (Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมืองนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่ระบบการเดินทางสัญจรที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ที่ซูริกยังมีระบบการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ทันสมัยมากๆ โดยทางการจะนำเซ็นเซอร์ตรวจวัดสภาพอากาศติดไว้กับรถประจำทางที่ออกท่องตาม ถนนในหลายพื้นที่ เพื่อเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศในแต่ละช่วงเวลาของวัน และรายงานผลตรงไปยังอุปกรณ์มือถือของคนในเมืองทันที ที่เขายอมลงทุนทำขนาดนี้ก็เพื่อคนของเขาจะได้เลือกออกมาสูดอากาศในช่วงที่ มลพิษน้อยที่สุดไง…(บริการเขาดีจริงๆ นะ…ว่าไหม?)
อันดับ 8 กรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) ประเทศสวีเดน
ใครที่เคยไปเที่ยวสตอกโฮล์มคงต้องประทับใจกับบ้านเมืองที่สะอาดสะอ้านและ อากาศที่สดชื่นแน่นอน แต่ทราบหรือไม่ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวเมืองที่นี่ใช้รถยนต์ระบบไฮบริดมากที่สุดในยุโรป
นอก จากนี้เมืองนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องระเบียบการจัดการระบบการขนส่งที่เข้มงวด มากๆ ตั้งแต่การเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) ราว 2 ยูโรจากรถยนต์ที่ขับเข้าเมืองในช่วงเวลาที่มีการจราจรหนาแน่น ทั้งยังมีการจำกัดเวลาจอดรถพร้อมกับเก็บค่าจอดแพงๆ อีกด้วย เพื่อกันไม่ให้คนนำรถมาจอดเยอะเกินไป!…(เอามาใช้ในเมืองไทยบ้างจะดีไหมนะ !)
อันดับ 7 กรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์
น่าแปลกที่เมืองหลวงแห่งนี้มีมลพิษที่เกิดจากรถยนต์น้อยมาก ไม่ถึงครึ่งของมลพิษทั้งหมดในอากาศ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการออกแบบถนนให้กว้างมากเป็นพิเศษ ทำให้การจราจรไม่ติดขัด และประชาชนก็ยังทำตามคำแนะนำของรัฐบาล โดยการร่วมด้วยช่วยกันหันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนทันทีที่ทราบว่า คุณภาพอากาศในเมืองเริ่มย่ำแย่แล้ว
อันดับ 6 เมืองออตตาวา (Ottawa) รัฐออนแทรีโอ (Ontario) ประเทศแคนาดา
อันดับ 5 เมืองแคลกะรี (Calgary) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) ประเทศแคนาดา
อันดับ 4 เมืองเกรตฟอลส์ (Great Falls) รัฐมอนแทนา (Montana) สหรัฐอเมริกา
อันดับ 3 เมืองโฮโนลูลู (Honolulu) รัฐฮาวาย (Hawaii) สหรัฐอเมริกา
อันดับ 2 เมืองแซนตาเฟ (Santa Fe) รัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) สหรัฐอเมริกา
อันดับ 1 เมืองไวต์ฮอร์ส (Whitehorse) เมืองหลวงของดินแดนยูคอน (Yukon) ประเทศแคนาดา
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก http://www.ความรู้รอบตัว.com
เขียนเมื่อ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560 | อ่าน 1262
เขียนโดย บริษัท โปร เอ็น เซิร์ฟ จำกัด
เขียนโดย บริษัท โปร เอ็น เซิร์ฟ จำกัด
Last Knowledge For You
-
หน้าจอแบบ LCD และ LED แตกต่างกันอย่างไร ซื้อแบบไหนดีกว่ากัน สำหรับยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีของการชมภาพยนตร์หรือใช้งานในด้านของการใช้งานคอมพิวเตอร์ประเภท... -
การปรับพื้นที่ก่อนสร้างอาคาร ขั้นตอนเตรียมพื้นที่ /ปรับพื้นที่ก่อนสร้างอาคาร... -
ประเภทของเสาเข็ม เสาเข็มที่ใช้กับอาคารบ้านเรือนทั่วไป ... -
ระบบฟลัชวาล์ว มาทำความรู้จ้กกับ ระบบฟลัชวาล์ว (Flush Valve) ว่าคืออะไร มีวิธีการทำงานอย่างไร... -
มาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร (ISO 22000) ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร HACCP (Hazard Analysis and Critical Po... -
หลักเกณฑ์และวิธีผลิตอาหาร ลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหารในชุมชน เพื่ออาหารที่สะอาดไม่มีสิ่งปนเปื้อน ที่ทำให้ผู้บริโภคไม... -
ภาวะโลกร้อนเกิดจากอะไร ส่งผลกระทบอย่างไรบ้างในปัจจุบัน ร้อนๆ ทำไมอากาศปีนี้มันช่างร้อนอบอ้าว อึดอัด และเหงื่อออกมากมาย ปีที่แล้วยังไม่ร้อนขนาดนี้เลย...
ทั้งหมด 7 รายการ |
![]() ![]() ![]() ![]() |